วิธีเลือกหลอดประหยัดไฟให้ตอบโจทย์การใช้งานกับทุกห้องในบ้าน

เลือกหลอดประหยัดไฟอย่างไรให้เหมาะสมกับแต่ละห้อง เพราะแสงสว่างแต่ละสีตอบโจทย์การใช้งานและมอบบรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เลือกหลอดไฟแบบไหนดี

SHARES

Share on facebook
Share on twitter
Share on pinterest
Share on linkedin

‘แสงสว่าง’ เป็นปัจจัยสำคัญในการอยู่อาศัยในทุกสถานที่ ซึ่งปัจจุบันผู้คนก็ให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อหลอดประหยัดไฟ เพื่อให้ได้ทั้งแสงสว่าง เหมาะสมกับแต่ละห้องและไม่เปลืองไฟ วันนี้ทางเซฟไทยจะมาแนะนำวิธีการเลือกซื้อหลอดประหยัดไฟให้เหมาะสมกับห้องต่าง ๆ ในบ้าน ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด

ก่อนที่เราจะรู้ถึงวิธีการเลือกซื้อหลอดประหยัดไฟนั้น จำเป็นจะต้องศึกษาถึงประเภทของหลอดไฟว่ามีแบบไหนบ้าง แล้วแต่ละแบบเหมาะแก่การใช้งานอย่างไร เพื่อที่เราจะได้เลือกมาใช้งานได้อย่างเหมาะสม

ประเภทของหลอดไฟ แบบไหนประหยัดไฟมากที่สุด

ประเภทหลอดประหยัดไฟ

 

  1. หลอดอินแคนเดสเซนต์ (Incandescent) หรือที่เรียกกันว่า ‘หลอดไส้’ หลอดไฟประเภทนี้ใช้กันมาอย่างยาวนานแล้ว มีไส้หลอดเป็นทังสเตน สามารถให้ความสว่างได้ด้วยการปล่อยกระแสไฟผ่านไส้หลอดที่เป็นลวดโลหะร้อน แต่ปัจจุบันความนิยมในการเลือกใช้ลดลง เพราะอายุการใช้งานสั้น ค่อนข้างกินไฟ รวมถึงมีตัวเลือกอื่นที่ตอบโจทย์มากกว่า
  2. หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) หรือที่เรียกกันว่า ‘หลอดตะเกียบ’ ให้ความสว่างจากการอาศัยพลังงานของแสงอัลตราไวโอเลตซึ่งเกิดขึ้นจากไอปรอทที่บรรจุไว้ในก๊าซเฉื่อยภายในหลอด ซึ่งแสงที่เราเห็นนั้นจะผ่านการกระทบกับผิวในหลอดที่เคลือบสารฟลูออเรสเซนต์ เนื่องจากแสงอัลตราไวโอเลต ตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ซึ่งหลอดไฟชนิดนี้มีหลายรูปแบบทั้งหลอดทรงยาวและดัดแปลงขดเป็นเกลียวเพื่อใช้แทนหลอดไส้แบบขั้วเกลียว E14 E27 ที่เรียกว่าหลอด Compact Fluorescent (CFL) หรือในชื่อหลอดตะเกียบนั่นเองหลอดไฟชนิดนี้มีประสิทธิภาพให้แสงสว่างสูง มีหลากหลายสีให้เลือกใช้ แต่อายุการใช้งานสั้น ยิ่งถ้าเปิดทั้งวัน อายุการใช้งานก็จะลดหลั่นลงไปอีก และมักให้อุณหภูมิความร้อนสูง ส่งผลให้ค่อนข้างกินไฟอีกด้วย
  1. หลอดไดโอดเปล่งแสง (Light Emitting Diode) หรือที่เรียกกันว่า ‘หลอด LED’ มีประสิทธิภาพสูง นิยมใช้งานกันแพร่หลาย ให้ความสว่างโดยการปล่อยกระแสไฟฟ้าไหลผ่านสารกึ่งตัวนำจนเกิดแสง หลอดประเภทนี้เกิดความร้อนน้อยมาก ทำให้ประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานนาน

เพราะแบบนี้เอง…หลอดประหยัดไฟ LED จึงเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน มีข้อดีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นอายุการใช้งานที่นานกว่าประมาณ 15,000 – 50,000 ชั่วโมง ให้สีและความสว่างคงที่ ประหยัดไฟกว่าหลอดประเภทอื่น แม้ราคาจะสูงกว่าหลอดทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับระยะเวลาการใช้งาน ก็นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เอาล่ะถึงเวลาที่เราจะไปดูวิธีเลือกซื้อหลอดประหยัดไฟกันแล้ว

 

วิธีเลือกซื้อหลอดประหยัดไฟให้เหมาะกับแต่ละห้อง

วิธีเลือกหลอดประหยัดไฟ

 

  1. เลือกหลอดประหยัดไฟที่มีสีของแสงให้เหมาะกับห้อง

หากสังเกตดี ๆ สีของแสงในแต่ละหลอดประหยัดไฟมีความแตกต่างกันให้ความรู้สึกและสร้างบรรยากาศให้ห้อง ๆ นั้นตามความต้องการของเรา อีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการมองเห็นอีกด้วย เช่น ห้องนอนอาจไม่เหมาะกับไฟสว่างจ้า ควรเป็นหลอดไฟในแสงโทนส้มที่ช่วยให้ผ่อนคลายมากกว่า ซึ่งหลอดประหยัดไฟมีโทนสีให้เลือก ดังนี้

  • หลอดไฟสี Warm White – มอบแสงในโทนส้ม อบอุ่น ค่าอุณหภูมิสีอยู่ที่ประมาณ 2,500 – 3,300 เคลวิน เหมาะสำหรับห้องนอน ห้องน้ำ ห้องรับแขก ควรหลีกเลี่ยงใช้ในพื้นที่ห้องแต่งตัว เพราะแสงนี้จะทำให้สิ่งที่เราเห็นมีสีผิดเพี้ยนไป เช่น เสื้อขาวเป็นสีออกเหลืองนวล
  • หลอดไฟสี Cool White – เป็นแสงโทนสีขาวสว่าง โทนสีเย็น ค่าอุณหภูมิสีอยู่ที่ประมาณ 4,000 เคลวิน มองแล้วให้ความสบายดวงตา เหมาะกับห้องที่ต้องการความมีสีสันชัด เช่น บริเวณโต๊ะกินข้าว ช่วยให้อาหารน่าทาน
  • หลอดไฟสี Day Light – โทนสีมาตรฐานที่มักนิยมเลือกใช้กันทั่วไป เป็นโทนสีที่ใกล้เคียงแสงธรรมชาติ ค่าอุณหภูมิสีอยู่ที่ประมาณ 4,500-6,500 เคลวิน มองเห็นชัด สีไม่เพี้ยน เหมาะกับหลายห้องในบ้านเลย เช่น ห้องทำงาน โต๊ะเครื่องแป้ง หรือแม้แต่ห้องน้ำก็สามารถใช้หลอดสีนี้ได้เช่นกัน
  1. เลือกขั้วหลอดไฟให้ถูกต้อง

ก่อนจะเลือกซื้อหลอดประหยัดไฟมาเปลี่ยน ควรดูขั้วหลอดไฟให้ดีก่อนว่าใช้แบบไหน เข้ากันได้หรือเปล่า ส่วนใหญ่แล้วจะมีขั้วแบบเกลียวกับแบบเขี้ยว

  1. เลือกหลอดประหยัดไฟที่มีวัตต์เหมาะสม

จำนวนวัตต์แสดงถึงความสว่างมากหรือน้อยของหลอดไฟ ยิ่งมีจำนวนวัตต์สูงก็ยิ่งสว่างและกินไฟตามไปด้วย ซึ่งแต่ละจุดของบ้านก็ต้องการความสว่างแตกต่างกัน เช่น ห้องทำงาน ต้องการความสว่างประมาณ 4-5 วัตต์ ขึ้นอยู่กับความกว้างและความสูงของห้องด้วย

  1. เลือกหลอดประหยัดไฟที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย

หลอดไฟ LED ก็ถือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นควรเลือกหลอดที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) และฉลากเบอร์ 5 เพื่อความปลอดภัยและประหยัดพลังงาน

 

เห็นไหมว่าการเลือกหลอดประหยัดไฟนั้นไม่ยากอย่างที่คิด หากใครที่ต้องเปลี่ยนหลอดไฟเองอยู่บ่อย ๆ ล่ะก็…หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะ

 

ที่มา:

rawee-lighting

scimath

homeguru

nirvanadaii

electric

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับคุกกี้ทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะ สำหรับการวิเคราะห์ และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะใดๆ ของผู้ใช้งาน

บันทึก